บทบาทของหุ่นยนต์ใน COVID-19
การระบาดใหญ่ของ COVID-19 ส่งผลกระทบต่อชีวิตของเราทุกวิถีทาง กิจวัตรประจำวันของเราเปลี่ยนไปและทุกคนพยายามปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ (New Normal)ของการรักษาความห่างเหินทางกาย ความระมัดระวังเป็นพิเศษในเรื่องสุขอนามัยส่วนบุคคล รวมทั้งลดกิจกรรมของเราที่เกี่ยวข้องกับการติดต่อใกล้ชิดกับบุคคลอื่นให้น้อยที่สุด ในขณะที่เรากำลังดำเนินการในส่วนของเราเพื่อช่วยต่อสู้กับการแพร่กระจายของโรค มีกลุ่มคนที่ยังคงต้องเปิดเผยตัวเองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ นักวิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการที่ทำการทดสอบไวรัสต้องทำงานตลอดเวลาเพื่อให้ทันกับปริมาณความต้องการในการทดสอบในแต่ละวัน
นอกเหนือจากการใช้เวลาทำงานเพิ่มขึ้น บุคลากรทางการแพทย์ยังต้องสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ติดเชื้อเมื่อทำการทดสอบและรักษาพวกเขา ไม่ต้องพูดถึงการอดทนต่อความรู้สึก ไม่สบายตัวจากการติดอยู่ในชุด PPE ทางการแพทย์ตลอดทั้งวันแล้วเทคโนโลยีจะช่วยอะไรได้บ้าง?
เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ให้ความช่วยเหลือแก่มนุษย์อย่างไร้ขีดจำกัด เราได้รับความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีในเกือบทุกด้านในชีวิตประจำวันของเรา ขณะนี้เราได้รับการทดสอบในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้แล้วจึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่เราจะใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยเราต่อสู้กับโรคติดเชื้อในปัจจุบัน ด้วยกิจวัตร ข้อกำหนดและขั้นตอนใหม่ๆในการป้องกันการแพร่กระจายและการรักษาโรค ซึ่งนักวิจัยและ บริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกได้ทำการสำรวจการใช้หุ่นยนต์สำหรับงานต่างๆ หุ่นยนต์ได้รับการทดสอบและปรับใช้ในการใช้งานเช่น การฆ่าเชื้อโรค การจัดการตัวอย่าง การดูแลผู้ป่วย การเก็บตัวอย่างและแม้แต่การบังคับใช้กฎหมาย
UVD Robot ซึ่งเป็นบริษัทด้านหุ่นยนต์ในเดนมาร์กได้พัฒนาและผลิตหุ่นยนต์ฆ่าเชื้ออัลตราไวโอเลต (UV) แบบอิสระที่สามารถฆ่าเชื้อในสถานที่ต่างๆได้เช่น โรงพยาบาล สนามบิน โรงเรียน โรงแรมและสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณะอื่นๆ แม้ว่าการฆ่าเชื้อโรคด้วยรังสียูวีจะได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพ แต่มนุษย์ไม่สามารถใช้การฆ่าเชื้อโรคด้วยรังสียูวีได้เนื่องจากการสัมผัสแสง UV โดยตรงมากเกินไปอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ ดังนั้นบทบาทของหุ่นยนต์ในการฆ่าเชื้อโรคด้วยตนเองจึงมีความสำคัญและมีประสิทธิภาพ
ในการจัดการตัวอย่างการทดสอบไวรัส Flow Robotics ได้แนะนำหุ่นยนต์จัดการตัวอย่างที่มีชื่อว่า ‘flowbot ONE’ หุ่นยนต์สามารถทำให้กระบวนการทดสอบเป็นไปโดยอัตโนมัติ โดยทำให้กระบวนการจัดการตัวอย่างและการปิเปต(การวัดปริมาตรนน้ำยา)ในห้องปฏิบัติการทางการแพทย์เป็นไปโดยอัตโนมัติ การใช้หุ่นยนต์นี้ช่วยลดความเสี่ยงของบุคลากรในห้องปฏิบัติการได้อย่างมากจากการสัมผัสกับไวรัสที่มีชีวิต ลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ และอุบัติเหตุในระหว่างกระบวนการทดสอบ นอกจากนี้หุ่นยนต์ยังได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเพิ่มความเร็วและความสามารถในกระบวนการทดสอบเมื่อเทียบกับการจัดการด้วยมือโดยมนุษย์
ในแถบประเทศเพื่อนบ้านเรา บริษัท DF Automation ของมาเลเซียนั้นได้พัฒนาหุ่นยนต์ทำคลอดโดยใช้ชื่อว่า ‘Makcik Kiah 19’ หรือ MCK19 เพื่อช่วยโรงพยาบาลในการส่งอาหารและยาให้กับผู้ป่วย COVID-19 ในวอร์ด หุ่นยนต์ช่วยลดภาระงานและลดความเสี่ยงที่บุคลากรทางการแพทย์จะติดเชื้อจากผู้ป่วย COVID การใช้หุ่นยนต์แทนมนุษย์ยังหมายความว่าจะมีการใช้ PPE น้อยลงซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนวัสดุสิ้นเปลือง
จากตัวอย่างข้างต้น ทำให้เราเห็นโอกาสและข้อดีที่นำเสนอโดยเทคโนโลยีอัตโนมัติและหุ่นยนต์ ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจล่าสุดของ McKinsey Global Business Executives Survey ในเดือนกรกฎาคมปี 2020 ที่ผ่านมา ผลการสำรวจแสดงให้เห็นว่าเนื่องจากกระบวนการทางธุรกิจเป็นดิจิทัล 68% ของบริษัทต่างๆจะจ้างคนในด้านเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติมากขึ้นในระหว่างและหลังการระบาดของ COVID-19
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 35% ของผู้ตอบแบบสอบถามต้องการคนงานที่มีทักษะในระบบอัตโนมัติ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และหุ่นยนต์มากขึ้นเพื่อรองรับกระบวนการอัตโนมัติที่เพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดใหญ่ แม้ว่าเราทุกคนจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หากมองในแง่ดีในสถานการณ์เช่นนี้ก็ช่วยเร่งการพัฒนาและเปิดโอกาสในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในชีวิตประจำวันหลายๆด้านของเราได้
ที่มา : https://www.swinburne.edu.my/campus-beyond/role-robots-covid-19-era.php